7 เรื่องพื้นฐาน “หุ้น” ที่ควรรู้ก่อนเริ่มลงทุน !

ยุคนี้ใคร ๆ ก็พูดถึงการลงทุน เพราะเป็นหนึ่งในวิธีที่สามารถต่อยอดเงินออมให้เติบโตได้จริงในระยะยาว แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยก้าวขาเข้าตลาดเลย อาจรู้สึกว่ามันซับซ้อน ยุ่งยาก หรือกลัวว่าจะขาดทุน

ผมจะพาไปรู้จักโลกของการลงทุน ตั้งแต่พื้นฐานแบบเข้าใจง่าย ไม่ต้องเป็นสายการเงินก็อ่านได้ พร้อมแนะนำวิธีเริ่มลงทุนเป็นเจ้าของกิจการทั้งในไทยและต่างประเทศ พร้อมข้อมูลที่จำเป็น เช่น เงินทุนขั้นต่ำ ค่าใช้จ่าย และตัวอย่างแอปที่ใช้ลงทุนจริง

หุ้น

1. หุ้นคืออะไร? มีกี่ประเภท?

คือส่วนหนึ่งของความเป็นเจ้าของบริษัท ถ้าคุณมี ก็เท่ากับว่าคุณเป็นเจ้าของร่วมในส่วนนั้น และมีสิทธิ์ได้รับผลตอบแทนในรูปแบบ “เงินปันผล” หรือ “กำไรจากการขาย”

ประเภทหลัก ๆ มีดังนี้:

  • หุ้นสามัญ (Common Stock): นักลงทุนทั่วไปถือประเภทนี้ มีสิทธิ์ออกเสียงในการประชุม

  • หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock): ได้รับเงินปันผลก่อน แต่ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง

  • หุ้นกู้ : เป็นการลงทุนในรูปแบบเราเป็นเจ้าหนี้ของบริษัท ให้บริษัทกู้เงิน แล้วจ่ายดอกเบี้ยกลับมา (ถือว่าเป็นตราสารหนี้)

2. อยากลงทุนในไทย เริ่มยังไง?

สามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ เช่น:

  • Streaming / FINNOMENA / Bualuang iTrading / K+ Trade เป็นต้น

ขั้นตอน:

  1. เปิดบัญชีซื้อขายกับโบรกเกอร์ (ใช้เอกสารแค่บัตรประชาชน+สมุดบัญชี)

  2. ยืนยันตัวตนผ่าน NDID

  3. รออนุมัติบัญชี และเริ่มโอนเงินเพื่อซื้อขายได้เลย

เงินทุนขั้นต่ำ:

  • ไม่มีขั้นต่ำจริง ๆ (คุณสามารถซื้อได้แม้มีแค่หลักร้อย)

  • แต่แนะนำให้เริ่มที่ 3,000–5,000 บาท เพื่อให้จัดพอร์ตได้หลากหลาย

ค่าธรรมเนียม:

  • ค่าคอมมิชชั่นประมาณ 0.08%-0.25% ต่อการซื้อ-ขาย (แล้วแต่โบรกเกอร์)

  • ภาษีเงินได้หากมีกำไร และภาษีปันผล 10%

3. อยากลงทุนบริษัทเมกา หุ้นดาวโจนส์ ต้องทำยังไง?

ใครอยากลงทุนในบริษัทใหญ่ระดับโลก เช่น Apple, Tesla, Microsoft สามารถทำได้ผ่านแอปพลิเคชัน เช่น:

  • IBKR (Interactive Brokers)

  • Dime! (ของไทย ใช้งานง่าย)

IBKR สมัครยังไง?

  • สมัครผ่านเว็บ/แอป

  • ยืนยันตัวตน + เชื่อมบัญชีธนาคาร

  • โอนเงินผ่านระบบต่างประเทศ (แนะนำ Wise หรือ Transferwise เพื่อประหยัดค่าธรรมเนียม)

เงินขั้นต่ำ:

  • แนะนำเริ่มที่ 100–300 USD (ประมาณ 4,000–10,000 บาท)

  • ซื้อแบบ “Fractional” ได้ (ซื้อแบบเศษ เช่น ซื้อแค่ 0.1 Amazon)

ถอนขั้นต่ำ:

  • แล้วแต่แพลตฟอร์ม เช่น Dime ถอนขั้นต่ำ 500 บาท

  • IBKR ถอนขั้นต่ำประมาณ 100 USD

ค่าธรรมเนียมการถอน:

  • IBKR ประมาณ $2–$10 (ถ้าโอนผ่านธนาคารปกติ)

แนะนำ: ควรลงทุนให้มีกำไรเกิน 10–15% ก่อนถอน เพื่อให้คุ้มค่าธรรมเนียม

4. แล้วจีน ฮ่องกงล่ะ?

สำหรับคนที่สนใจลงทุนในเอเชียอย่างจีนหรือฮ่องกง สามารถลงทุนผ่านแพลตฟอร์มอย่าง:

  • Tiger Brokers

  • Moomoo

  • SCB / KBank ที่เปิดบริการต่างประเทศ

เงินทุนขั้นต่ำ:

  • เริ่มต้นประมาณ $100–200 เช่นกัน (แล้วแต่แพลตฟอร์ม)

ข้อดี:

  • ตลาดจีน-ฮ่องกงมีบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ เช่น Tencent, Alibaba

  • บางช่วงมีราคาน่าสนใจเหมาะกับการเก็บระยะยาว

ข้อเสีย:

  • ผันผวนสูง / ข่าวสารและกฎระเบียบคาดเดายาก

  • สภาพคล่องบางช่วงน้อยกว่าเมกา

5. ข้อดีข้อเสีย ไทย-ต่างประเทศ

แพลตฟอร์มข้อดีข้อเสีย
ไทยภาษาไทย / ง่ายต่อการเริ่มบริษัทน้อย / บางอุตสาหกรรมโตช้า
เมกาบริษัทใหญ่ โอกาสเติบโตสูงค่าเงิน / ค่าธรรมเนียมถอน
จีนราคาน่าสนใจ / ตลาดขนาดใหญ่ความไม่แน่นอนทางนโยบาย

6. เริ่มยังไงให้ไม่เสี่ยงเกินไป?

  • เริ่มจากเงินเย็น ไม่จำเป็นต้องใช้ใน 6-12 เดือน

  • ศึกษาบริษัทก่อนซื้อ อย่าซื้อตามกระแส

  • อย่าลงทีเดียวหมดพอร์ต แบ่งเงินเป็นหลายส่วน

  • ใช้บัญชีทดลอง (Demo) ก่อน ถ้าไม่มั่นใจ

7. อยากลงทุนอย่างเข้าใจ แนะนำเรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์

ถ้าใครยังรู้สึกว่าการลงทุน ยังดูยาก ลองเริ่มต้นจากคอร์สเรียนออนไลน์ที่สอนตั้งแต่พื้นฐานจนถึงวิเคราะห์เจาะลึก

💡 แนะนำสำหรับคนเริ่มต้นที่อยากลงทุนเป็น แบบไม่หลงทาง เลือกเรียนแบบที่ถูกใจได้เลยครับ

 

สุดท้ายแล้ว

การลงทุนไม่ใช่เรื่องไกลตัว ขอแค่เข้าใจระบบ คำนวณค่าใช้จ่าย และเริ่มต้นอย่างมีสติ จะไทย ต่างประเทศ ก็สามารถเริ่มได้จากเงินก้อนเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ เติบโต

ใครพร้อมแล้ว…ไปลุยกัน! 💹

From the same category